จากหนังสือ คอมซุวะอิชรูนนะศีฮะฮ์ลิเฏาะละบิติลอิลม์
แปลโดย รอมฎอน พวงผกา
พึงทราบเถิด ขออัลลอฮ์ทรงเมตตาแก่ท่าน ความจริงแล้วเจตนาเป็นเงื่อนไขในการที่การงานจะถูกรับหรือถูกปฏิเสธ มีรายงานท่านอุมัร อิบนุ อัลคอฏฏอบ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ กล่าวว่า: ฉันได้ยินท่านเราะซูลุลลอฮ์ ﷺ ได้กล่าวว่า:
إِنَّمَا اْلأَعْمَالُ بِالنِّيَّاتِ وَإِنَّمَا لِكُلِّ امْرِئٍ مَا نَوَى فَمَنْ كَانَتْ هِجْرَتُهُ إِلَى اللهِ وَرَسُوْلِهِ فَهِجْرَتُهُ إِلَى اللهِ وَرَسُوْلِهِ ، وَمَنْ كَانَتْ هِجْرَتُهُ لِدُنْيَا يُصِيْبُهَا أَوْ امْرَأَةٍ يَنْكِحُهَا فَهِجْرَتُهُ إِلَى مَا هَاجَرَ إِلَيْهِ
“ความจริงแล้วการงานต่างๆนั้นขึ้นอยู่กับการเจตนา และทุกคนจะได้รับ (ผลตอบแทน) ตามที่เขาเจตนาไว้ ฉะนั้นบุคคลใดที่การอพยพของเขา (เจตนา) เป็นไปเพื่ออัลลอฮ์และเราะซูลของพระองค์ ดังนั้นการอพยพของเขาก็เป็นไปเพื่ออัลลอฮ์และเราะซูลของพระองค์ และบุคคลใดที่การอพยพของเขา (เจตนา) เป็นไปเพื่อ (ผลประโยชน์) ทางโลกดุนยาที่จะได้รับ หรือเพื่อสตรีนางหนึ่งที่เขาจะแต่งงานด้วย ดังนั้นการอพยพของเขา ก็เป็นไปตาม (เจตนา) ที่เขาอพยพไปนั่นเอง” (บันทึกโดย อัลบุคอรีย์และมุสลิม)
“ความจริงแล้วการงานต่างๆนั้นขึ้นอยู่กับการเจตนา และทุกคนจะได้รับ (ผลตอบแทน) ตามที่เขาเจตนาไว้” ฮะดีษนี้เป็นฮะดีษที่ยิ่งใหญ่มาก จนกระทั่งชาวซะลัฟกลุ่มหนึ่งและบรรดานักวิชาการของอิสลามได้กล่าวว่า: สมควรที่จะทำให้ฮะดีษบทนี้อยู่ในตอนต้นของทุกตำราวิชาการทั้งหลาย ด้วยเหตุนี้เองอิหมามอัลบุคอรีย์ เราะฮิมะฮุลลอฮ์ จึงได้เริ่มต้นตำราเศาะเฮียะฮ์ของท่านด้วยฮะดีษนี้ โดยทำให้เป็นฮะดีษแรกที่ปรากฏขึ้น ด้วยถ้อยคำว่า: “ความจริงแล้วการงานต่างๆนั้นขึ้นอยู่กับการเจตนา และทุกคนจะได้รับ (ผลตอบแทน) ตามที่เขาเจตนาไว้”
และฮะดีษนี้ถือเป็นรากฐานหนึ่งจากบรรดารากฐานของศาสนา อิหมามอะหมัดได้กล่าวไว้ว่า: “มีฮะดีษอยู่ 3 บท ที่ศาสนาอิสลามหมุนเวียนอยู่รอบๆมัน”
1. ฮะดีษของท่านอุมัร เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ: “ความจริงแล้วการงานต่างๆนั้นขึ้นอยู่กับการเจตนา”
2. ฮะดีษของท่านอาอิชะฮ์ เราะฎิยัลลอฮุอันฮา : “ผู้ใดที่ประดิษฐ์สิ่งใหม่ขึ้นมาในศาสนาของเรานี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่มี (หลักฐาน) จากมัน ดังนั้นมันจะถูกตีกลับ (ปฎิเสธ)”
3. ฮะดีษของท่านนุอฺมาน อิบนุ บะชีร เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ : “สิ่งที่หะลาลนั้นชัดเจน และสิ่งที่ฮะรอมนั้นก็ชัดเจน”
ฮะดีษนี้ (เรื่องเจตนา) เป็นหลักการอันยิ่งใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับการงานของหัวใจ เพราะเจตนานั้นเป็นส่วนหนึ่งของการงานหัวใจ นักวิชาการได้กล่าวว่า: ฮะดีษนี้ถือเป็นครึ่งหนึ่งของการอิบาดะฮ์ เพราะมันใช้ในการจำแนกการงานต่างๆภายใน ส่วนฮะดีษของท่านอาอิชะฮ์ เราะฎิยัลลอฮุอันฮา ที่ว่า: “ผู้ใดที่ประดิษฐ์สิ่งใหม่ขึ้นมาในศาสนาของเรานี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่มี (หลักฐาน) จากมัน ดังนั้นมันจะถูกตีกลับ (ปฎิเสธ)” และอีกสำนวนหนึ่งว่า “และผู้ใดปฏิบัติงานหนึ่งงานใด ที่ไม่มีอยู่ในศาสนาของเรา กิจการงานนั้นคือสิ่งที่ถูกตีกลับ (ปฏิเสธ)” ฮะดีษนี้เป็นอีกครึ่งหนึ่งของศาสนา เพราะมันใช้ในการจำแนกการงานที่ปรากฎภายนอก
ดังนั้นประโยชน์ที่ได้จากคำพูดของท่านนะบี ﷺ ที่ว่า “ความจริงแล้วการงานต่างๆนั้นขึ้นอยู่กับการเจตนา” ความจริงไม่มีการงานใดๆเลยที่ปราศจากเจตนา เพราะมนุษย์ทุกคนที่มีสติปัญญาและสามารถเป็นผู้ที่เลือกได้นั้น เป็นไปไม่ได้ที่กระทำการงานใดโดยไม่มีเจตนา จนกระทั่งมีนักวิชาการบางท่านกล่าวว่า: “ถ้าหากอัลลอฮ์ทรงกำหนดให้เราต้องทำการงานใดๆ โดยไม่มีเจตนาเลย แน่นอนว่านั่นคือการกำหนดสิ่งที่เกินกว่าความสามารถของมนุษย์”
ประโยชน์บางประการจากฮะดีษนี้ ความจริงผู้คนจะได้รับรางวัล (ผลบุญ) หรือได้รับโทษ (บาป) หรือถูกห้าม (ไม่ถูกรับ) ขึ้นอยู่กับเจตนาของเขา เนื่องจากคำพูดของท่านนบี ﷺ ที่ว่า: “ฉะนั้นบุคคลใดที่การอพยพของเขา (เจตนา) เป็นไปเพื่ออัลลอฮ์และเราะซูลของพระองค์ ดังนั้นการอพยพของเขาก็เป็นไปเพื่ออัลลอฮ์และเราะซูลของพระองค์”
และประโยชน์ที่ได้จากฮะดีษนี้เช่นเดียวกันคือ ความจริงแล้วการงานต่างๆจะถูกพิจารณาตามเป้าหมายที่เป็นสื่อหรือหนทางไปถึงมัน เช่น บางสิ่งที่โดยพื้นฐานแล้วเป็น มุบาห์ (สิ่งที่อนุญาตตามศาสนา) ก็สามารถกลายเป็นการอิบาดะฮ์ได้ เมื่อผู้กระทำนั้นตั้งเจตนาในสิ่งที่ดี เช่น การที่เขาเจตนากินและดื่มเพื่อให้มีความยำเกรงต่อการเชื่อฟังอัลลอฮ์ ด้วยเหตุนี้ท่านนะบี ﷺ ได้กล่าวว่า: “จงรับประทานซะฮูรเถิด เพราะแท้จริงในซะฮูรนั้นมีความจำเริญ
ฮะดีษนี้ถือเป็นหนึ่งในฮะดีษที่ศาสนาทั้งหมดหมุนเวียนอยู่รอบๆมัน มีรายงานจากสองอิมามผู้ยิ่งใหญ่ คือ อิหมามอัชชาฟิอีย์ และอิหมามอะหฺมัด เราะฮิมะฮุมัลลอฮ์ ว่าท่านทั้งสองกล่าวว่า: ฮะดีษนี้คือ หนึ่งในสามส่วนของความรู้ และ หนึ่งในสามส่วนของอิสลาม เพราะการแสวงหาของบ่าว (การกระทำของมนุษย์) มี 3 ทาง คือ ทางหัวใจ, ทางลิ้น, และทางอวัยวะต่าง ๆ โดยที่ “เจตนา” เป็นหนึ่งในสามส่วนนี้ และยังเป็นส่วนที่มีความสำคัญที่สุด เนื่องจากบางครั้งเพียงการมีเจตนาก็เพียงพอที่จะนับเป็นการอิบาดะฮ์ได้ แม้ไม่ได้ลงมือกระทำก็ตาม
อิหมามอัลบุคอรีย์ เราะฮิมะฮุลลอฮ์ กล่าวว่า: “ไม่มีคำบอกเล่าของท่านนะบี ﷺ เรื่องใดที่ครอบคลุมและมีประโยชน์มากไปกว่าฮะดีษนี้ (เรื่องการงานขึ้นอยู่กับเจตนา)”
ท่านอับดุรเราะห์มาน อิบนุ มะฮ์ดี เราะฮิมะฮุลลอฮ์ กล่าวว่า: “สมควรอย่างยิ่งที่จะทำให้ฮะดีษบทนี้เป็นบทนำของทุกๆบท”
แม้ว่าจะไม่ได้ปรากฏคำว่า “นียะฮ์” (เจตนา) โดยตรงในอัลกุรอาน แต่ก็มีถ้อยคำอื่นที่มีความหมายในลักษณะเดียวกันกับ “นียะฮ์” (เจตนา) ดังที่อัลลอฮ์ ﷻ ตรัสว่า: “และผู้ใดออกจากบ้านของเขา เพื่ออพยพไปยังอัลลอฮ์และเราะซูลของพระองค์ แล้วความตายได้ประสบแก่เขา แน่นอนว่า ผลบุญของเขาก็ตกอยู่กับอัลลอฮ์” (ซูเราะฮ์ อันนิซาอ์ :100) อิหมามอัสสะอฺดีย์ เราะฮิมะฮุลลอฮ์ ได้อธิบายโองการนี้ว่า: ผู้ที่ออกเดินทางด้วย เจตนามุ่งสู่อัลลอฮ์และความพอพระทัยของพระองค์ และด้วยความรักต่อเราะซูลของพระองค์ และเพื่อช่วยเหลือศาสนาของอัลลอฮ์ มิใช่เพื่อวัตถุประสงค์อื่นจากนั้น “แล้วความตายได้ประสบแก่เขา” ไม่ว่าจะโดยการถูกฆ่าหรือเหตุใดก็ตาม “ดังนั้น ผลบุญของเขาย่อมได้แก่เขา โดยความประกันจากอัลลอฮ์” หมายความว่า: เขาจะได้รับผลบุญของผู้ที่ทำการฮิจเราะฮ์อย่างครบถ้วนตามเป้าหมายของเขาโดยการรับประกันของอัลลอฮ์ ﷻ เพราะเขาได้ตั้งเจตนาอย่างแน่วแน่ และได้เริ่มลงมือทำแล้วในตอนแรก นี่คือความเมตตาของอัลลอฮ์ที่มีต่อเขาและผู้ที่คล้ายคลึงกับเขา คือ อัลลอฮ์จะประทานผลบุญให้ครบถ้วนแก่พวกเขา ถึงแม้จะไม่ได้ทำงานนั้นสำเร็จสมบูรณ์ และพระองค์ยังทรงอภัยโทษต่อความบกพร่องที่อาจเกิดขึ้นจากการฮิจเราะฮ์หรือการงานอื่นๆ ด้วย
ดังนั้น โอ้บ่าวของอัลลอฮ์! บรรดานักวิชาการทั่วไปมีความเห็นว่า ความจริงแล้วสถานที่ของ “นียะฮ์” (เจตนา) คือหัวใจ ส่วนความเห็นที่ว่าสถานที่ของเจตนาคือ สมอง หรือ ลิ้นนั้น นี่เป็นทัศนะที่แปลกและไม่ถูกต้อง
ฉะนั้นนียะฮ์ (เจตนา) จำแนกความแตกต่างระหว่างการอิบาดะฮ์กับการกระทำทั่วๆไป เช่น ผู้ที่งดเว้นอาหารการกินตั้งแต่แสงฟะญัรขึ้น (เวลาซุบฮ์หรือเวลาเริ่มถือศีลอด) จนถึงอาทิตย์ตก (เวลามัฆริบหรือเวลาละศีลอด) ถ้าหากเขาทำเพราะการควบคุมอาหาร หรือทำตามคำแนะนำของแพทย์หรือเพราะไม่อยากกินและดื่ม สิ่งนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่อนุญาตไม่มีผลบุญและไม่มีบาป แต่ถ้าเขางดอาหารโดยมีเจตนาที่จะถือศีลอดเพื่ออัลลอฮ์ ﷻ สิ่งนี้คือการเชื่อฟังภักดีต่ออัลลอฮ์และเขาจะได้รับผลบุญ
เจตนายังจำแนกความแตกต่างระหว่างอิบาดะฮ์แต่ละประเภท ตัวอย่างเช่น ละหมาดซุฮ์รและละหมาดอัศร์ ซึ่งภายนอกแล้วรูปแบบเหมือนกัน แต่สิ่งที่ทำให้แตกต่างกันก็คือ นียะฮ์ (เจตนา) นั่นเอง
อิหมามอัสซะอ์ดีย์ เราะฮิมะฮุลลอฮ์ ได้กล่าวไว้ในหนังสือ “มันซูมะฮ์อัลเกาะวาเอดฟิกฮีย์” ของท่านว่า: และนียะฮ์ (เจตนา) เป็นเงื่อนไขของการงานทั้งปวง ด้วยกับเจตนานั้น การงานจะดีงามหรือเสียหาย ความหมายก็คือ : แท้จริงเจตนานั้นถือเป็นเงื่อนไขของความถูกต้องสำหรับการงานทั้งหลาย แต่ไม่ได้หมายความว่าการงานจะไม่มีหรือไม่เกิดขึ้นเลยถ้าไม่มีเจตนา แต่สิ่งที่ตั้งใจจะสื่อคือ ความดีงามหรือความเสียหายของการงานนั้นขึ้นอยู่กับเจตนา ถ้าเจตนาดีการงานก็จะดีแต่ถ้าเจตนาเสียการงานก็จะเสีย แม้ว่าการงานนั้นจะเกิดขึ้นแล้วก็ตาม ดังนั้นจึงกล่าวว่า: ด้วยเจตนานั้นการงานจะดีงามหรือเสียหาย เพราะบางครั้งภาพลักษณ์ภายนอกของการงานนั้นมีอยู่ แต่กลับขาดเจตนาที่ดีงามอยู่ภายใน
และนียะฮ์ (เจตนา) ตามที่นักวิชาการกล่าวถึง นักวิชาการได้กล่าวว่า: นียะฮ์เป็นสิ่งที่ชอบหลบเลี่ยงและเร่ร่อน (ตามจัดการยาก) ดังนั้น มนุษย์จำเป็นต้องหมั่นตรวจสอบเจตนาของตนเองอยู่เสมอ และต้องต่อสู้กับตนเองอย่างหนัก เพื่อทำให้เจตนานั้นถูกต้อง บริสุทธิ์ และเพื่ออัลลอฮ์ ﷻ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับ ผู้แสวงหาความรู้ (ฏอลิบุลอิลม์)
ท่านอิบนุลกอยยิม เราะฮิมะฮุลลอฮ์ กล่าวว่า: การงานของหัวใจคือรากฐาน ส่วนการงานของร่างกายนั้นเป็นสิ่งที่ตามมาและทำให้สมบูรณ์ และความจริงเจตนาก็เปรียบเสมือนวิญญาณ ส่วนการงานก็เปรียบเสมือนร่างกาย ฉะนั้นเมื่อวิญญาณแยกออก ร่างกายมันก็ตาย ดังนั้นการรู้จักบทบัญญัติของหัวใจจึงสำคัญกว่าการรู้จักบทบัญญัติของร่างกาย
ท่านชัยคุลอิสลาม อิบนุ ตัยมียะฮ์ กล่าวว่า: การงานภายนอกจะไม่ดีงามและถูกรับ นอกจากจะต้องผ่านการงานของหัวใจก่อน เพราะความจริงหัวใจคือกษัตริย์ ส่วนอวัยวะร่างกายคือทหารของมัน ดังนั้นเมื่อหัวใจสกปรก ทหารของมันก็ย่อมสกปรกตาม ดังนั้นท่านนะบี ﷺ จึงกล่าวว่า: “ความจริงแล้วในร่างกายมีเนื้อก้อนหนึ่ง…” (ฮะดีษ)
ท่านซุฟยาน อัษเษารีย์ กล่าวว่า: “ไม่มีสิ่งใดที่ฉันต้องต่อสู้กับมันหนักหนาสาหัสไปกว่าเจตนาของฉัน เพราะแท้จริงมันพลิกผันต่อฉันอยู่เสมอ”